วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

ดอกยี่โถ

ดอกยี่โถ ดอกยี่โถชื่อสามัญ : Sweet oleandar, Oleander, Rose bayชื่อพฤกษศาสตร์ : Nerium oleander วงศ์ : APOCYNACEAE ยี่โถเป็นไม้พุ่ม แตกกิ่งก้านสาขาไม่มากนัก ต้นมียางสีขาวคล้ายน้ำนม ใบ เดี่ยว รูปหอก โคนใบสอบ ปลายแหลม ขอบเรียบ สีเขียวเข้ม กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 8-14 ซม. ดอกช่อ ออกเป็นช่ออยู่ส่วนยอดของต้น ดอกเป็นรูปทรงกรวย มีทั้งชนิดลาและซ้อน หลากหลายสี เช่น สีชมพูเข้ม ชมพู ขาว มีกลิ่นหอม ผล เป็นฝักคู่ เมื่อแก่จะแตกเห็นเมล็ดภายในผล ประโยชน์ ใบขนาดพอเหมาะ เป็นยาบำรุงหัวใจ ใบเป็นพิษ มีสารที่มีฤทธิ์แรงมากในการใช้ปรุงยา ถ้าใช้เกินขนาดเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เป็นยาเบื่อหนูและฆ่าแมลง ถิ่นกำเนิด เมดิเตอร์เรเนียน เคบเวอดี ญี่ปุ่น เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 2 เมตร ใบเดี่ยวหนาแข็งและแคบยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด มีทั้งชนิดดอกซ้อนและดอกลา ชนิดดอกซ้อนมีขนาดดอกโตกว่าและมีกลิ่นหอม สีชมพูแก่ ส่วนชนิดดอกลามีหลายสี ตั้งแต่สีขาว เหลืองนวล ชมพูอ่อน ชมพูแก่ แดงอ่อน แดงแก่และแดงดำ ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอน

ดอกจันทร์กระพ้อ

ดอกจันทร์กระพ้อ
จันทร์กะพ้อ(Vatica diospyroides Syming.) จันทน์กะพ้อเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ Dipterocarpaceae พวกเดียวกับยางนาและพะยอม ทางภาคใต้เรียก จันทน์พ้อ และที่จังหวัดพังงาเรียก เขี้ยวงูเขา จันทน์กะพ้อเป็นไม้ต้นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง โตช้า ชอบขึ้นในที่ดินร่วนชื้นและร่มปะปนกันไม้ต้นชนิดอื่นในป่าดิบชื้น ต้นค่อนข้างตรง เปลือกเกลี้ยง เรือนยอดเป็นพุ่มรีหรือกว้างใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีค่อนข้างยาว ขนาดยาว ๗-๙ซม. กว้าง ๒-๓ ซม. สีเขียวเข้ม เรียงตัวแบบเวียนไปตามกิ่งห่างๆ กัน ดอกออกตามกิ่งเป็นช่อเล็กๆ ทยอยบานครั้งละ ๑-๒ ดอก แต่มักจะมีช่อหลายช่อเป็นกระจุกและเรียงเป็นระยะๆ ตามกิ่งดอกขนาด ๑.๒-๑.๕ ซม. กลีบเลี้ยงมีขนสีน้ำตาลกลีบดอกเรียงเวียนซ้อนเกยกันเล็กน้อย ด้านในสีขาวนวลหรืออมชมพู ด้านนอกมีแถบแคบๆ มีขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดง กลิ่นหอมแรง ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปัจจุบันพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดปลูกเลี้ยงค่อนข้างยาก ถ้าแดดจัดหรือลมแรงใบจะไหม้ ปัจจุบันพบน้อยลงมาก

ดอกรักเร่

ดอกรักเร่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dahlia hybridวงศ์ COMPOSITAEชื่อสามัญ Garden Dahliaดอกรักเร่ เป็นไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดิน สูง 40-100 เซนติเมตร ใบเดี่ยวหรือใบประกอบ ใบย่อยสามใบ ออกตรงข้าม ปลายแหลม ขอบจักดอก มีหลายพันธุ์ เช่น ชมพู่ ส้ม ฯลฯ อาจมีลายหรือมีสองสีในดอกเดียวกัน ออกเดี่ยวที่ปลายยอด ริ้วประดับมี 2-3 ชั้น ดอกวงนอกรูป รางน้ำ ชั้นเดียวหรือหลายชั้น ดอกวงในเป็นหลอดปลายจัก 5 แฉกผลแบนนิเวศวิทยา - ถิ่นกำเหนิด เม็กซิโกออกดอก - ตลอดปีขยายพันธุ์ - เมล็ด หัวใต้ดินประโยชน์ - หัวใต้ดิน ต้มกับหมูรับประทานแก้โรคหัวใจ แก้ไข้ต้น น้ำคั้นจากต้นมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ ฆ่าเชื้อ Staphylococcusใบ บางทีมีพิษ ดอกรักเร่จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีรักเร่ เป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก โคลัมเบีย และทั่วไปในทวีปอเมริกากลาง ดอกมีรูปทรงและสีสันสวยงาม ก้านดอกแข็งแรง นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอกเช่นเดียวกับกุหลาบ แต่ในประเทศไทยไม่นิยมปลูกเพราะชื่อไม่เป็นมงคลนั่นเ อง ในอเมริกามีคดีฆาตกรรมชื่อดังที่ยังเป็นปริศนามาถึงท ุกวันนี้ชื่อว่า Black Dahlia

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ดอกหงอนไก่

ดอกหงอนไก่
หงอนไก่ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาไม่มากนักใบเป็นใบเดี่ยว จะออกรวมกันเป็นกลุ่มตามข้อลำต้น ใบมีสีเขียว ดอกจริงๆ ของหงอนไก่มีขนาดเล็กเป็นละออง แต่จะออกติดกันเป็นช่อใหญ่และแน่นหนา ดอกมีหลายสี เช่นแดง ชมพู ขาว เหลือง ส่วนที่ใช้ ลำต้น ก้านและใบ ดอก เมล็ดสรรพคุณ ลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้โรคท้องร่วง อาเจียนเป็นเลือด ริดสีดวงทวารมีเลือดออก กระอักเลือดตกเลือด หรือใช้เป็นยาพอกแก้ตะขาบกัด โดยใช้ต้นที่อ่อนตำแล้วพอก ก้านและใบ ใช้ก้านและใบสดหรือแห้ง นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาระบาย แก้รดสีดวงทวารที่มีเลือดออก อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด ตกเลือดและเป็นโรคบิด หรือใช้ตำพอกบาดแผลที่มีเลือด ผิวหนังเป็นผดผื่นคัน ดอก ใช้ดอกสดหรือแห้ง นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ไอ หรืออาเจียนเป็นเลือด เลือดไหลไม่หยุด ประจำเดือนมามากผิดปกติ เลือดกำเดาออก ตกเลือด ตกขาว ปวดหัว เป็นผดผื่นคัน เยื่อตาอักเสบ และเป็นโรคตาแดง เมล็ด ใช้เมล็ดแห้ง นำมาต้มหรือใช้ทำเป็นยาเม็ดกิน เป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ตาฟางในเวลากลางคืน แก้อุจจาระเป็นเลือด บิด ถ่ายเป็นเลือด เลือดกำเดาออก ห้ามเลือดหรือผิวหนังเป็นผดผื่นคันร้อนแดงเป็นต้น

ดอกพู่ชมพู

ดอกพู่ชมพู เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง ใบเป็นประกอบแบบขนนก มีอยู่เพียงคู่เดียว ใบย่อยมี 6-10 คู่ ดอกเป็นช่อมีสัณฐานกลม เมื่อดอกบานจะเป็นพู่กลม ตัวดอกประกอบด้วยเกสรตัวผู้เส้นเล็กยาวจำนวนมาก เป็นสีชมพูหรือสีแดง ฝักแบบภายในมีเมล็ด 5-6 เมล็ด ออกดอกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือการตอน พู่ชมพู ชื่อวิทยาศาสตร์ : Calliandra haematocephala Hassk. ชื่อวงศ์ : Leguminosae-Mimosoideae ชื่อสามัญ : Pink red powderpuff, Red head powderpuff, Red powderpuff ชื่อพื้นเมือง : พู่จอมพล ชนิดพืช [Plant Type] : ไม้พุ่ม ขนาด [Size] : สูงไม่เกิน 6 เมตร สีดอก [Flower Color] : สีชมพู หรือสีขาว ฤดูที่ดอกบาน [Bloom Time] : ธ.ค.-เม.ย. อัตราการเจริญเติบโต [Growth Rate] : ปานกลาง ลักษณะนิสัย [Habitat] : ขึ้นในดินทั่วไปยกเว้นดินเหนียว ความชื้น [Moisture] : ปานกลาง แสง [Light] : แดดเต็มวัน ลักษณะทั่วไป (Characteristic) : ไม้พุ่มขนาดใหญ่หรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ เรือนยอดแผ่กว้าง บางครั้งมีลักษณะเป็นพุ่ม กิ่งก้านอ่อนลู่ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยด่างเป็นวงสีขาวเทาทั่วทั้งต้น ใบ (Foliage) : ใบประกอบแบบชนนกสองขั้นปลายคู่ เรียงสลับ ใบย่อย 5-10 คู่ ใบรูปขอบขนาน กว้าง 0.4-0.8 เซนติเมตร ยาว 1.2-1.8 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบเบี้ยว ขอบใบเรียบ ดอก (Flower) : สีขาวหรือชมพู ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกแน่นที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ใบรูปครึ่งวงกลมถึงกลมดอกย่อยขนาดเล็กโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรเพศผู้จำนวนมากโคนก้านสีขาวเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็นเส้นเล็กยาวสีขาวหรือสีชมพู ช่อดอกบานเต็มที่กว้าง 4-7 เซนติเมตรผล (Fruit) : ผลแห้ง เป็นฝักแบน กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกทางด้านข้าง เมล็ดสีน้ำตาล มี 4-6 เมล็ด การใช้งานด้านภูมิทัศน์ (Landscape Used) : พุ่มใบละเอียดสวยงามและมีดอกตลอดปี เลี้ยงง่าย ปลูกเป็นไม้ประธานในพื้นที่กว้าง มุมอาคาร ปลูกเป็นกลุ่มเพื่อบังกำแพงหรือเป็นฉากหลังชองศาลา

ดอกลีลาวดี

ดอกลีลาวดี ดอกลีลาวดีบานแล้วดอกลีลาวดีเป็นดอกไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปในติมอร์-เลสเต ชาวบ้านเรียกดอกนี้ว่าซานโต อันโตนีโอ เป็นพืชนิยมปลูกเพราะขึ้นง่าย โตเร็ว ชอบแดด และดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงามที่สถานทูตไทยมีต้นลีลาวดีปลูกอยู่สองต้น โดยนำต้นกล้าเพาะชำมาปลูก เมื่อปี 2550 บัดนี้ลีลาวดีต้นน้อยทั้งสองได้เติบโตขึ้นและผลิดอกออกมาล้อแดดหยอกลมแล้ว คนไทยที่มาสถานทูตต่างอดไม่ได้ที่จะทักทายลาลีวดีทั้งสองต้นว่าดอกสวยพันธุ์ไม้นี้ตามหลักสากลมีชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria) คนไทยภาคกลางเรียกต้นไม้นี้ว่าลั่นทมซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเรียกลีลาวดี คนภาคเหนือเรียก ดอกจำปาลาวเป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว เหลือง แดง ชมพู คนไทยโบราณไม่นิยมปลูกไม้พันธุ์นี้เนื่องจากเชื่อว่าเป็นอัปมงคล เพราะชื่อลั่นทมพ้องกับคำว่าระทม เชื่อกันว่าหากปลูกไว้ในบ้านคนที่อาศัยอยู่จะไม่มีความสุข อย่างไรก็ดี นับแต่เปลี่ยนชื่อเป็นลีลาวดีเกิดกระแสความนิยมที่จะปลูกต้นลีลาวดีในบ้านมากขึ้น

ดอกสร้อยทอง

ดอกสร้อยทอง
ต้น ลำต้นแตกแขนง มีพุ่มสูงประมาณ 30-100 ซม. ใบ ใบมีรูปร่างยาวรี ยาวประมาณ 10-12 ซม. ใบมีสีเขียวเข้มใบช่วงบนลำต้นจะเล็กกว่าใบช่วงล่างของลำต้น ดอกมีสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม ช่อดอกเป็นแบบกลุ่ม (Cluster) คือมีดอกย่อยเล็ก ๆ อยู่ภายในช่อดอก โดยช่อเหล่านี้จะมีก้านดอกสั้น ๆ ติดอยู่กับก้านชูดอก ก้านช่อดอกจะตั้งฉากกับลำต้นขนาดของดอกค่อนข้างเล็ก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 1 ซม.
พันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากคือ Solidago canadensis ให้ลำต้นตรงสูงประมาณ 45-100 ซม. ลักษณะการเจริญเติบโตในแนวตั้ง ใบมีสีเขียวเข้ม รูปหอก ดอกมีสีเหลืองอ่อน เหลืองนกขมิ้น และเหลืองทอง ช่อดอกเป็นแบบ Cluster (เป็นกลุ่ม) มีดอกย่อยเล็ก ๆ อยู่ภายในช่อ โดยที่ดอกช่อเหล่านี้จะมีก้านดอกสั้นติดอยู่กับก้านชูดอก ให้ดอกในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน พันธุ์อื่น ๆ ที่พบ 1. Solidago multiradiata ลำต้นแตกแขนงมีพุ่มต้นสูงประมาณ 25-45 ซม. ดอกมีสีเหลือง ขนาดดอกใหญ่กว่าชนิดอื่น ๆ จะบานเป็นช่อ ให้ดอกช่วงเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม 2. Solidago bracbystacbys พุ่มต้นสูง 15-30 ซม. ดอกมีสีเหลืองทอง ให้ดอกช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 3. Solidago eaasia ต้นสูงประมาณ 8-40 ซม. ดอกมีสีเหลืองอ่อน ให้ดอกช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 4. Solidago odora ทรงพุ่มแข็งแรงสูงประมาณ 100-200 ซม. ให้ดอกช่วงเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม 5. Garden hybrids ทรงพุ่มสูงประมาณ 30-40 ซม. ให้ดอกในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงตุลาคม